Saturday 14 August 2010

ผลไม้ใกล้ตัวที่กินแล้ว อ้วน

ทราบหรือไม่ว่าการกินผลไม้นอกจากมีประโยชน์แล้วยังสามารถทำให้อ้วนได้อีก
วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีมาบอก...


การกิน
ผลไม้ กินแล้วดี มีประโยชน์มากมาย แต่บางครั้งก็ต้องเลือกกิน และกินในปริมาณที่พอดี เพราะมี ผลไม้ บางชนิดที่มีน้ำตาลสูง ซึ่งอาจจะทำให้ อ้วน ได้


ผลไม้

ผลไม้ที่กิน แล้วอ้วนสุด ๆ คือ
กล้วยไข่





อันดับ 2 คือ
กล้วยน้ำว้า




อันดับ 3 คือ
ขนุน





อันดับ 4 คือ
กล้วยหอม




อันดับ 5
คือ มะม่วงน้ำดอกไม้สุก





อันดับ 6 คือ
ลำไยกะโหลกเขียว





อันดับ 7
คือ ลองกอง






อันดับ 8
คือ เงาะ





อันดับ 9 คือ
ลางสาด




อันดับสุดท้ายน้ำตาลน้อยสุด คือ
ละมุด





แต่ ทุเรียน ก็เป็นผลไม้ ที่ขึ้นชื่อว่ามีน้ำตาลสูงมาก ๆ ใครที่กินรับรองอ้วนแน่ ส่วนผลไม้ที่กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ได้แก่ แอปเปิ้ล ชมพู่ ฝรั่ง มะม่วงดิบ มะละกอ และ แตงโม




รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าไม่อยากอ้วนจนเกินไป ลองหาผลไม้ที่กินแล้วไม่อ้วนมากินกันได้

อ้วน พุง

น่าห่วง! คนไทย 14 ล้าน เป็นโรคอ้วน



โฆษกกระทรวงสาธารณสุขเผยผลสำรวจความอ้วนของคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป พบว่าเป็นโรคอ้วนเฉลี่ยร้อยละ 22 หรือราว 14 ล้านคน และยังมีอีก 2.7 ล้านคนที่จ่อคิวเข้าข่ายเป็นโรคอ้วนz

เพื่อลดตัวเลขคนอ้วนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และส่งเสริมให้คนไทยมีสุขภาพแข็งแรง กระทรวงสาธารณสุขจึงรณรงค์ การลดน้ำหนักอย่างปลอดภัยโดยใช้หลัก 3 ประการคือ

1.ออกกำลังกาย

2.ควบคุมอาหาร

3.ควบคุมอารมณ์

ที่สำคัญคือ ไม่ควรอดอาหาร เพราะจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารและเกิดความเครียดจนรู้สึกอยากกินมากกว่าเดิมสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว สามารถขอรับคำปรึกษาได้ที่ คลินิกไร้พุง กรมอนามัย โทร. 0-2590-4415 และที่ศูนย์อนามัย กระทรวงสาธารณสุขทั้ง 12 ศูนย์ทั่วประเทศ

ข้อมูล: สำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข



ประจำเดือน


ประจำเดือน บอกโรคได้


ทราบหรือไม่ว่าประจำเดือนไม่ใช่เลือดเสีย ปริมาณเลือดที่มากเกินไปในแต่เดือนจึงอาจบ่งชี้ถึงโรคภัยที่คุณคาดไม่ถึงได้

แพทย์จากศูนย์การแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยดุ๊คเผย 25 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงที่มีเลือดประจำเดือนมาก เมื่อมาตรวจร่างกายจะพบว่าพวกเธอมีอาการของโรคเลือดออกง่าย ซึ่งเป็นโรคเลือดชนิดหนึ่งที่ส่งผ่านทางพันธุกรรม อาการของโรคนี้สังเกตได้ง่ายๆ เช่น เวลาเป็นแผลมีเลือดหยุดไหลช้านานกว่า 5 นาที แม้มีบาดแผลเล็กๆ แต่เลือดจะออกง่ายเป็นลิ่มๆ และหยุดไหลยาก ทุกครั้งหลังทำฟันเลือดจะไหลซึมออกมาก ประกอบกับถ้ามีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคเลือด มีแผลฟกช้ำแม้ไม่ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการมีประจำเดือนมากเกินไปจนน่าห่วง ควรรีบไปพบแพทย์ก่อนสายเกินไป



8 ข้อดีเมื่อมีชีวิตโสด

แม้ปัจจุบันจะมีคู่รักหลาย ๆ คู่ที่ต้องการแต่งงาน สร้างครอบครัวด้วยกัน และพยายามเก็บเงินเพื่อให้ได้เข้าใกล้ความฝันนั้นในสักวันหนึ่ง แต่สำหรับคนที่เป็นโสดก็ใช่จะเป็นปมด้อย เพราะในความเป็นโสดก็ยังมีข้อดีมากมายแอบซ่อนอยู่ โดยเฉพาะชีวิตโสดสำหรับคุณผู้ชาย ซึ่งทางเว็บไซต์ Askmen.com ได้เปิดเผยถึง 8 ข้อดีของชีวิตโสดที่คุณผู้ชายควรทราบก่อนตัดสินใจสละมันให้กับสาวในดวงใจ นั่นก็คือ



1. คุณจะมีเวลาค้นหาคนที่ถูกใจได้นานขึ้น
มีคู่รักหลายคู่ตัดสินใจแต่งงานเพราะความรัก แต่ก็มีอีกหลายคู่เช่นกันที่เจ้าตัวอาจยังไม่แน่ใจมากนักกับคนรัก แต่แต่งงานเพราะเหตุผลอื่น ๆ เช่น คบกันมานานแล้ว ถึงเวลาต้องแต่งงานเสียที หรือเพื่อน ๆ เขาแต่งงานกันไปหมดแล้ว จึงอยากแต่งงานบ้าง หรือบางคนก็มองว่า ไม่อยากแต่งงานในช่วงวัยที่แก่เกินไป เลยรีบแต่งตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่น ซึ่งถ้าซื้อล็อตเตอรี่ถูกใบก็ถือเป็นโชคดี แต่มีไม่น้อยที่ต้องทนใช้ชีวิตคู่อย่างหวานอมขมกลืน หรือไม่ก็แยกทางกันไปในที่สุด

ถ้ามีเวลาและครองชีวิตโสดเอาไว้ได้นานอีกสักนิด ก็อาจพิจารณาคนที่จะอยู่ร่วมชีวิตกับคุณได้อย่างถี่ถ้วนมากขึ้นก็ได้



2. คุณสามารถทุ่มเทให้งานได้เต็มที่
ปัจจุบัน สิ่งสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ของชีวิตวัยหนุ่มสาวก็คือ หน้าที่การงาน ยิ่งได้ทำงานที่ชอบ และมีโอกาสประสบความสำเร็จ พวกเขาก็ยิ่งทำงานด้วยความขยันขันแข็ง แต่หากมีเรื่องของความรักเข้ามาพัวพัน นั่นหมายถึงคุณต้องแบ่งเวลาส่วนหนึ่งไปสนใจคนรัก และทำให้โอกาสที่จะทุ่มเทสร้างผลงานให้กับองค์กรลดน้อยลงนั่นเอง



3. มีอิสระเสรีเหนืออื่นใด
คนโสดมีอิสระในการทำสิ่งต่าง ๆ ได้ตามความต้องการของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการพบปะเพื่อนฝูง ทำงานอดิเรก หรือทำกิจกรรมที่คุณสนใจ และข้อดีที่สุดก็คือ การได้รู้ว่าคุณสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณค่า และยืนได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องอาศัยจิตใจของใครอีกคนช่วยพยุง



4. คุณสามารถมีกิจกรรมทางเพศที่หลากหลาย
ข้อนี้อาจเหมาะสำหรับหนุ่มที่ชอบเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ
ไม่ชอบผูกมัดตนเองกับใครไปตลอดชีวิต การเป็นโสดช่วยให้คุณได้สิทธิ์นั้นไว้ในครอบครอง



5. คุณสามารถใช้เวลาที่มีอยู่สร้างฐานะให้มั่นคง
การมีชีวิตโสดช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ชายหลาย ๆ คนได้มากเอาการ เพราะไม่ต้องเก็บเงินไว้เพื่อเอาใจสาว ๆ ด้วยการซื้อข้าวของให้กับพวกเธออีกต่อไป สู้เอาเงินไปผ่อนบ้านให้คุณพ่อคุณแม่ ผ่อนคอนโดสำหรับตัวเอง หรือมองหารถยนต์ที่จำเป็นต้องใช้ดีกว่า



6. หูของคุณจะได้อยู่อย่างสงบสุข
อีกหนึ่งเหตุผลที่การอยู่เป็นโสดเหมาะสำหรับหนุ่มบางคนก็คือ การได้อยู่อย่างสงบสุข ไม่ต้องทนกับอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ของสาวข้างกาย หรือต้องทนฟังเสียงบ่นของพวกเธอ ไม่เพียงเท่านั้นยังไม่ต้องทะเลาะเบาะแว้งกับพวกเธอเวลาไม่สบอารมณ์อีกด้วย



7. ของเล่นของคุณยังอยู่ที่เดิม
ไม่ว่าคุณจะเป็นช่างซ่อมบ้าน หรือนักประดิษฐ์ เครื่องไม้เครื่องมือสไตล์หนุ่ม ๆ ที่เก็บเอาไว้เต็มบ้าน จะยังคงอยู่ที่เดิม และทันทีที่คุณมีสาว ๆ เข้ามาในชีวิต พวกเธอจะมองของเล่นของคุณเหล่านั้นเป็นของเกะกะ และพร้อมจะจัดการให้มันหายวับไปกับตาทันที



8. ไม่ต้องพบเจอสิ่งที่ไม่ถูกใจ
หากสาว ๆ ข้างกายชวนคุณไปทำในสิ่งที่คุณไม่ชอบเลย แต่ก็ต้องฝืนใจไปกับเธอ เช่น ไปดริงก์กับกลุ่มเพื่อนสาว ซึ่งมีแต่สาว ๆ เมาท์กัน คุณไม่รู้จะคุยอะไร แถมบางทีต้องควักกระเป๋าจ่ายเสียอีก การเป็นโสดก็ช่วยลดความน่าจะเป็นที่จะต้องพบกับเหตุการณ์ดังกล่าวลงได้



สำหรับใครที่ยังโสด หรือยังคิดไม่ตกว่าจะแต่งงานดีหรือไม่ ลองพิจารณาข้อดีต่าง ๆ เหล่านี้ของคนโสดดูอีกสักที ไม่แน่ว่าคุณอาจรู้สึกดีกับชีวิตโสดมากขึ้นก็เป็นได้







Sunday 1 August 2010


Mother's Day






วันแม่สากลมีความสำคัญต่อชนหลายชาติ แม้แต่ละชาติจะกำหนดวันนี้ไม่ตรงกันแต่ส่วนใหญ่แล้วยังเลือกวันอาทิตย์ เป็น Date of Mother's Day

วันแม่สากล

แม่..มีอานุภาพที่ยิ่งใหญ่ในใจลูกทุกคนจนยากที่จะเปรียบ เทียบได้กับทุกสรรพสิ่งในโลก
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ให้พระราชดำรัสคำว่า แม่ ไว้ว่า “แม่เป็นพระอรหันต์ของลูก คนที่เที่ยววิ่งหาพระเพื่อกราบไหว้ระอรหันต์ อย่าลืมว่ามีพระอรหันต์อยู่กับตัวแล้ว ควรปฏิบัติต่อแม่อย่าให้บกพร่องได้”
พระคุณของแม่อันประกอบไปด้วยความรักที่มีต่อลูกอย่างสุดหัวใจเช่นนี้ คงไม่ยากจนเกินไปนัก หากเอ่ยคำว่า “รัก” ให้แม่ได้ชื่นใจบ้าง เพราะคุณอาจโชคดีกว่าหลาย ๆ คนที่ได้เพียงแต่รำลึกถึงพระคุณแม่ ผ่านภาพและเงา ที่ตราตรึงไว้ในความทรงจำเท่านั้นว่า “ลูกรักแม่”


"MOTHER" ตามความหมายของ Howard Johnson

"M" is for the million things she gave me,
"O" means only that she's growing old,
"T" is for the tears she shed to save me,
"H" is for her heart of purest gold;
"E" is for her eyes, with love-light shining,
"R" means right, and right she'll always be,


คนไทยยกย่องให้วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ แต่ในความเป็นสากลแล้ว อีกหลายๆประเทศกำหนดให้ วันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคม เป็นวันแม่สากล ซึ่งต้นกำเนิดวันแม่นั้น มีประวัติความเป็นมายาวนาน ตั้งแต่ชาวกรีกที่เฉลิมฉลองวันแม่ The Mother of the Godsจนปี 1960 ชาวอังกฤษจึงเริ่มใช้ "Mothering Sunday"สืบเนื่องมาจาก พวกกรรมกรนำเค้กชนิดพิเศษที่เรียกกันว่า The mothering cake, นำกลับไปเยี่ยมมารดาของตน
ต่อมาปีในปี 1872 Julia Ward Howe ชาวบอสตัน สหรัฐอเมริกา ต้องการเรียกร้องสันติสุขสำหรับการพบแม่ในวันแม่ Mother's Day meetings จนกระทั่งมีผู้เรียกร้องอย่างมุ่งมั่นที่ต้องการให้มีวันแม่อย่างเป็นทางการเมื่อ แอนนา เอ็ม. จาร์วิส คุณครูแห่งรัฐฟิลาเดลเฟีย ซึ่งใช้ความพยายามถึง 2 ปี จนถึงปี ค.ศ.1914 (พ.ศ. 2457) ประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน ได้มีคำสั่งให้ถือวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ ต่อมาชาวโลกได้ร่วมกันกำหนดฉลองวันแม่สากล ตรงกันหลายๆประเทศเช่น United Kingdom, Denmark, Finland, Italy, Turkey, Australia, Mexico, Canada, China, Japan, and Belgium คือ วันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคม ของทุกๆปี และในปีนี้จะตรงกับวันที่ 14 พฤษภาคม 2549 แต่อย่างไรก็ตามยังมีบางประเทศที่กำหนดวันแม่แห่งชาติของตนเอง ซึ่งยังคงกำหนดวันอาทิตย์เช่นกันโดยใช้คำว่า Mothering Sunday


To love the tender heart hath ever field,
As on its mother's breast the infant throws.
It's sobbing face, and there in sleep forget its woe.

หัวใจที่อ่อนโยน ย่อมแสวงหาความรัก
ดุจเดียวกับทารกน้อย ซบใบหน้าที่รํ่าไห้ลงกับอกแม่
แล้วหลับใหลลืมความโศกเศร้าหมดสิ้น ณ ที่นั้นเอง



While you can quarrel with a grownup,
how you can quarrel with a newborn baby
who has stretched out his little arms
for you to pick him up?

คุณสามารถจะทะเลาะกับผู้ใหญ่ได้
แต่จะไปทะเลาะกับทารกแรกเกิด
ที่เหยียดแขนน้อยๆ ออกมา
เรียกร้องให้คุณอุ้มได้อย่างไร



วันแม่แห่งชาติสากล


ต้นกำเนิดวันแม่มีประวัติความเป็นมายาวนาน ตั้งแต่ชาวกรีกที่เฉลิมฉลองวันแม่

the Mother of the Gods

ปี 1960 ชาวอังกฤษจึงเริ่มใช้ "Mothering Sunday" สืบเนื่องมาจาก

พวกกรรมกรนำเค้กชนิดพิเศษที่เรียกกันว่า the mothering cake

นำกลับไปเยี่ยมมารดาของตน

ต่อมาปีในปี 1872 Julia Ward Howe ชาวบอสตัน สหรัฐอเมริกา

ต้องการเรียกร้องสันติสุขสำหรับการพบแม่ในวันแม่ Mother's Day meetings

จนกระทั่งมีผู้เรียกร้องอย่างมุ่งมั่นที่ต้องการให้มีวันแม่อย่างเป็นทางการ

แอนนา เอ็ม. จาร์วิส คุณครูแห่งรัฐฟิลาเดลเฟีย ซึ่งใช้ความพยายามถึง 2 ปี


จนถึงปี ค.ศ.1914 (พ.ศ. 2457) ประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน ได้มีคำสั่งให้ถือ

วันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ

ต่อมาชาวโลกได้ร่วมกันกำหนดฉลองวันแม่สากล ตรงกันหลายๆประเทศ

เช่น United Kingdom, Denmark, Finland, Italy, Turkey, Australia, Mexico,

Canada, China, Japan, and Belgium

บางประเทศที่กำหนดวันแม่แห่งชาติของตนเอง ก็ยังคงกำหนดวันอาทิตย์เช่นกัน

โดยใช้คำว่า Mothering Sunday