Saturday 29 October 2011

ความเป็นมาของบัตรเครดิต(Credit Card)



บัตรเครดิตคงไม่มีใครที่ไม่รู้จักใช่ไหมครับ เพระาเป็นบัตรเอกประสงค์สามารถจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าได้โดยไม่ต้องใช้เงินสด แต่ต้องไปจ่ายกับธนาคารที่หลัง หรือพูดกันแบบง่ายๆ ก็คือยืมมาจ่ายก่อนนั้นเอง แต่คุณที่ใช้บัตรเครดิตอยู่เคยคิดกันไหมครับว่าบัครเครดิตมีที่มาที่ไปอย่างไรกัน วันนี้ผมมีคำตอบเช่นเคย
ใครจะเชื่อ ว่าบัตรเครดิตเริ่มต้นเกิดขึ้นจากนวนิยายเรื่อง “ย้อนอดีต” (Looking Backward) ของนายเอ็ดเวิร์ด เบลลามี (Edward Bellamy) ที่ประพันธ์ขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1888 ตามเนื้อเรื่องเป็นภาพฉากประชาชนในเมืองแห่งหนึ่งได้รับสวัสดิการจากรัฐบาล ด้วยการรับบัตรเครดิตเพื่อนำมาจับจ่ายสินค้าและบริการต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ
ในปี ค.ศ.1900 โรงแรมแห่งหนึ่งได้นำความคิดของเบลลามีมาออกบัตรเครดิต ให้กับลูกค้าชั้นดี เพื่อนำไปจ่ายค่าบริการและอื่นๆ ของโรงแรม
ในปี ค.ศ.1914 บริษัทเยอเนอรัลปิโตรเลียม คอร์ปอเรชั่น ออฟแคลิฟอร์เนีย ซึ่งปัจจุบันคือบริษัท โมบิลออยส์ จำกัด โดยทำบัตรดังกล่าวให้กับลูกค้า และพนักงานของตน ที่ได้รับเลือกสรรแล้ว และนำไปชำระค่าน้ำมัน ตอนนั้นบัตรเครดิตนี้จะมีลักษณะเหมือนกับเหรียญโลหะ
ปี ค.ศ.1950 นายแฟรงค์ แมคนามารา (Frank McNamara) ซึ่งเป็นนักธุรกิจเกิดลืมพกกระเป๋าเงินติดตัวไปทานอาหาร และไม่มีเงินจ่าย ต้องให้ภรรยานำเงินมาชำระให้ จึงคิดว่าถ้ามีบัตรพิเศษที่ใช้แทนเงินได้ ก็จะดี จากนั้นก็ปรึกษากับนายราล์ฟ ชไนเดอร์ (Ralph Schncider) ซึ่งเป็นทนายความ และได้สร้างบัตร ไดเนอร์สคลับ ขึ้นมาเพื่อใช้ในการซื้อสินค้าและบริการแทนการชำระเงินโดยตรง ภายหลังได้มีบริษัท อเมริกันเอกซ์เพรส ได้ออกบัตรเครดิต โดยมีวัตถุประสงค์ในครั้งแรกเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวที่จะต้องเดินทางไปต่างประเทศ ไม่ต้องพกเงินสดเป็นจำนวนมาก โดยได้นำเสนอบัตรที่สามารถนำไปขึ้นเงินได้ที่ธนาคารต่างๆ
ในปี ค.ศ.1951 ปีถัดมา ธนาคารแห่งชาติแฟรงกริน ในนิวยอร์ก เป็นธนาคารแห่งแรกที่ออกบัตรเครดิตให้กับประชาชนซึ่งเป็นชนิดที่นิยมใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน
บัตรเครดิตถ้าใช้ให้เป็นก็มีประโยชน์ ไม่จำเป็นจะต้องพกเงินสดมาก มีส่วนลด และแต้มสะสม อย่างไรก็ตาม ผมเองก็อยากจะเตือนทุกคนก่อนที่จะใช้บัตรเครดิตทุกครั้งว่า ตอนรูดมันรูดง่ายอยกาได้อะไรก็ได้ แต่ต้องคำนึงถึงตอนสิ้นเดือนที่จพะต้องจ่้ายด้วยนะครับเพระาเรายืมเงินคนอื่นมาใช้ก่อน ถ้าไม่จ่ายตรงเวลาก็ต้องเสีัยดอกเบี้ยเป็นธรรมดา ประมาณร้อยละ 20 ต่อปี ถือว่าโหดมากถ้าเทียบกับอัตราเงินฝากที่แสนจะ (ทุเ..) ร้อยละ ไม่ถึง 5% เซ้งใจจริงๆ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
kungsss.exteen.com
wikipedia.org

No comments:

Post a Comment